หนี้เสีย (NPL) ในระบบการเงินไทย: ความหมาย สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางรับมือ

ทำความเข้าใจหนี้เสียตั้งแต่ “ค้างชำระ” ไปจนถึง “ผิดนัด” สัญญาณเตือนที่ควรจับตา และวิธีลดโอกาสกลายเป็น NPL

3 分钟阅读
3 次查看
หนี้เสีย (NPL) ในระบบการเงินไทย: ความหมาย สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางรับมือ

หนี้เสีย (NPL) ในระบบการเงินไทย: ความหมาย สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางรับมือ

บทนำ

หนี้เสีย หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL) เป็นตัวชี้วัดสำคัญของเสถียรภาพระบบการเงิน เพราะสะท้อนความสามารถของครัวเรือนและธุรกิจในการชำระหนี้ หาก NPL เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินต้องกันสำรองมากขึ้นและมักเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลต่อสภาพคล่องของเศรษฐกิจจริง ทั้งในมิติการบริโภค การลงทุน และความเชื่อมั่น

Key takeaways :

  • NPL คือ “ปลายทาง” ของสินเชื่อที่เสื่อมคุณภาพ โดยเกณฑ์สากลมักยึด ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือ เข้าข่าย “unlikely to pay”

  • ธปท. ใช้กรอบ “NPL หรือ Stage 3” ในการสื่อสารคุณภาพสินเชื่อ และติดตาม Stage 2 (SICR) ควบคู่กัน

  • ไตรมาส 3/2568: Stage 3 ราว 544.0 พันล้านบาท, NPL ratio 2.94%, และ Stage 2 ratio 7.24%

  • การรับมือที่มีประสิทธิภาพคือ “ตัดวงจร” ก่อนเข้าสู่ Stage 3 ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้/วินัยกระแสเงินสด และการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ


For Rent (3).jpg

1) NPL คืออะไร: นิยามและการจัดชั้นสินเชื่อ

NPL (Non-Performing Loan) คือสินเชื่อที่ “ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือมีความเสี่ยงสูงว่าจะไม่ได้รับชำระคืนตามสัญญา โดยนิยามสากลที่อ้างอิงกันมากในกรอบ Basel ระบุเงื่อนไขหลัก 2 แบบ คือ

  1. ค้างชำระเกิน 90 วัน (บนภาระหนี้ที่มีนัยสำคัญ) และ/หรือ

  2. ลูกหนี้เข้าข่าย “unlikely to pay” คือมีเหตุอันควรเชื่อว่าไม่น่าชำระหนี้ได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องพึ่งการบังคับหลักประกัน

NPL ในบริบทไทย: “NPL หรือ Stage 3”

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้คำว่า “NPL หรือ Stage 3” ในรายงานภาพรวมระบบธนาคาร และติดตาม Stage 2 (SICR: Significant Increase in Credit Risk) ควบคู่กัน เพื่อมองภาพ “ความเสี่ยงก่อนเป็น NPL”

ทำไมต้องดู Stage 2 คู่กับ NPL

การมอง NPL อย่างเดียวอาจ “ช้าเกินไป” เพราะ NPL คือปลายทางของวงจรความเสื่อมคุณภาพสินเชื่อที่มักเดินลำดับดังนี้


ค้างชำระระยะสั้น → Stage 2 (ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ) → Stage 3 (NPL)
ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพควร “คุมให้ได้ตั้งแต่ Stage 2” เพื่อหยุดการไหลไปสู่ NPL

ตัวชี้วัดที่มักใช้ร่วมกัน

  • NPL ratio: สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม

  • Stage 2 ratio (SICR): สัดส่วนสินเชื่อที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด

  • NPL coverage ratio: เงินกันสำรองต่อ NPL (สะท้อน “กันชน” ของระบบธนาคาร)


Thai bank Sector.png

2) ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุดในระบบธนาคารไทย (ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย.)

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน Banking Sector Quarterly Brief ไตรมาส 3/2568 ระบุว่า

  • ยอดคงค้าง Stage 3 (NPL) อยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท

  • NPL ratio อยู่ที่ 2.94% (เพิ่มขึ้นบางส่วนเพราะฐานสินเชื่อรวม “หดตัว”)

  • Stage 2 ratio เพิ่มขึ้นเป็น 7.24%

หากมองย้อนหลัง ไตรมาส 1/2568 ธปท. รายงานว่า NPL อยู่ที่ 548.1 พันล้านบาท และ NPL ratio 2.90% โดยแรงกดดันสำคัญมาจาก SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

ขณะที่รายงานภาพรวม Q4/2567 และทั้งปี 2567 ระบุว่า NPL ลดลงเป็น 532.1 พันล้านบาท และ NPL ratio 2.78% พร้อมทั้งชี้ว่าระบบธนาคารยังมีเงินกองทุน สภาพคล่อง และการกันสำรองอยู่ในระดับสูง

ในมิติ “กันชนระบบ” รายงาน Q4/2567 ยังแสดง NPL coverage ratio 177.1% (Q4/2024) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ช่วยสะท้อนความสามารถในการรองรับความเสียหายจาก NPL ได้ในระดับหนึ่ง

หมายเหตุเชิงตีความ: ตัวเลข NPL ที่ “ทรง/ลด” ไม่ได้แปลว่าความเสี่ยงหมดไป เพราะ Stage 2 ที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่ากลุ่มลูกหนี้บางส่วนเริ่มอ่อนแรง จำเป็นต้องติดตามคุณภาพหนี้ต่อเนื่อง


สาเหตุของ NPL มองผ่าน 3 มิติ.jpg

3) สาเหตุของ NPL: มองผ่าน 3 มิติ

3.1 มหภาค: รายได้ฟื้นไม่เท่ากัน + ภาระดอกเบี้ย + ความไม่แน่นอน

เมื่อรายได้ของบางกลุ่มฟื้นช้า แต่ภาระผ่อนชำระยัง “ตึง” ความเสี่ยงค้างชำระจะสะสมง่ายขึ้น โดย ธปท. เน้นการติดตาม ความสามารถชำระหนี้ (debt serviceability) ของ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางสภาวะการเงินที่ตึงตัวและเศรษฐกิจที่ชะลอ


นอกจากนี้ ภาพหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง โดย Reuters รายงานว่าอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ณ สิ้น Q4/2024 อยู่ที่ 88.4% แม้ลดลงเล็กน้อย แต่ยอดหนี้รวมยังเพิ่มขึ้น

3.2 ระดับอุตสาหกรรม/พอร์ตสินเชื่อ: SMEs และอสังหาฯ เป็นจุดเปราะ

ในปี 2568 ธปท. ระบุว่าการปล่อยกู้ให้ SMEs และสินเชื่อผู้บริโภค ยังหดตัว สอดคล้องกับความเสี่ยงเครดิตที่สูงขึ้น


อีกด้านหนึ่ง ธปท. ชี้ว่าความสามารถทำกำไรของภาคธุรกิจอ่อนลงในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่สอดคล้องกับตลาดที่อยู่อาศัยซบเซา ซึ่งเป็นช่องทางที่ความเสี่ยงอาจส่งผ่านไปสู่ NPL ทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้กู้รายย่อย

3.3 ระดับลูกหนี้: โครงสร้างหนี้ไม่สอดคล้องรายได้

ในทางปฏิบัติ NPL มักเกิดจาก “โครงสร้างหนี้” ที่ไม่สอดคล้องรายได้ เช่น

  • ผ่อนหลายก้อนพร้อมกัน (บ้าน/รถ/บัตร/สินเชื่อส่วนบุคคล)

  • รายได้ผันผวน (โอทีลด ยอดขายตก งานฟรีแลนซ์ไม่สม่ำเสมอ)

  • ขาดเงินสำรองฉุกเฉิน

  • ธุรกิจมีรอบรับเงิน–จ่ายเงินไม่สมดุล (cash conversion cycle ติดลบ)

สัญญาณเตือนที่พบบ่อยคือ “เริ่มหมุนหนี้” หรือ “จ่ายขั้นต่ำต่อเนื่อง” และเริ่มค้างชำระบ่อยขึ้น แม้ยังไม่เป็น NPL แต่มีโอกาสไหลไป Stage 2/Stage 3 ได้


ผลกระทบของ NPL ต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์.jpg

4) ผลกระทบของ NPL ต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์

4.1 ต่อสถาบันการเงิน: กันสำรองสูงขึ้น → ปล่อยกู้ยากขึ้น

เมื่อ NPL เพิ่ม ธนาคารต้องบริหารความเสี่ยงเข้มขึ้นและกันสำรองมากขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ “คัดเลือก” มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มความเสี่ยงสูง ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน ธปท. ที่สะท้อนสินเชื่อรวม “หดตัว” ในช่วงปี 2568

4.2 ต่อลูกหนี้: ต้นทุนสูงขึ้น และเครดิตในอนาคตแคบลง

ผลที่เกิดกับลูกหนี้มักประกอบด้วย

  • ภาระดอกเบี้ย/ค่าปรับ/ค่าติดตามทวงถามเพิ่ม

  • คะแนนเครดิต/ประวัติเครดิตเสีย ส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต

  • หากมีหลักประกัน อาจเข้าสู่กระบวนการบังคับหลักประกันตามเงื่อนไขสัญญา

4.3 ต่อเศรษฐกิจจริง: เครดิตตึง → การบริโภคและลงทุนชะลอ

เมื่อเครดิตตึง การใช้จ่ายและการลงทุนมักชะลอ ทำให้การฟื้นตัวเปราะบาง โดย ธปท. เน้นการติดตามความสามารถชำระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนต่อเนื่อง

4.4 ต่อตลาดอสังหาฯ/การประมูล: NPL มีหลักประกัน → เชื่อมไปสู่ NPA

หนี้ที่มีหลักประกัน (โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย/อสังหาฯ เชิงพาณิชย์) หากฟื้นตัวไม่ได้ อาจกลายเป็น NPA (Non-Performing Asset) หรือ “ทรัพย์รอขาย/ทรัพย์หลุดจำนอง” ทำให้ตลาดมือสองและตลาดประมูลมีบทบาทมากขึ้นในช่วงที่ตลาดซื้อขายปกติชะลอตัว


5) วิธีจัดการ NPL ในระบบ จากการช่วยเหลือถึงการจัดการหนี้ที่ฟื้นไม่ได้.jpg

5) วิธีจัดการ NPL ในระบบ: จากการช่วยเหลือถึงการจัดการหนี้ที่ฟื้นไม่ได้

การจัดการ NPL โดยทั่วไปมี 3 กลุ่มเครื่องมือหลัก

5.1 การปรับโครงสร้างหนี้/มาตรการช่วยเหลือ (Early intervention)

แนวคิดสากลให้ความสำคัญกับการนิยามหนี้ด้อยคุณภาพ/หนี้ผ่อนปรน (forbearance) และการติดตามหลังผ่อนปรนเงื่อนไข เพื่อป้องกัน “ยืดปัญหา” โดยไม่แก้ความสามารถชำระหนี้จริง


ในฝั่งไทย ธปท. สื่อสารถึงการติดตามประสิทธิผลของมาตรการช่วยเหลือ และระบุว่าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนเปราะบางได้ในระดับหนึ่ง

5.2 การกันสำรอง/บริหารพอร์ต/ตัดจำหน่าย (Balance sheet management)

การตั้งสำรองและบริหารพอร์ตช่วยรักษาเสถียรภาพของงบดุล โดยรายงาน ธปท. ชี้ว่าระบบธนาคารยังมีเงินกองทุน สภาพคล่อง และระดับการกันสำรองที่แข็งแรง

5.3 การโอน/ขายหนี้ให้ผู้เชี่ยวชาญ (AMC) และการบังคับหลักประกัน

เมื่อหนี้ “ฟื้นไม่ได้” การโอนขาย NPL/NPA ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) หรือดำเนินการตามกระบวนการหลักประกัน เป็นอีกทางเลือกในการเร่งจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ทั้งนี้รายละเอียดขึ้นกับกฎหมาย สัญญา และเงื่อนไขแต่ละกรณี)

ในระดับนโยบาย รัฐบาลยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้บางกลุ่ม เช่น มาตรการสำหรับลูกหนี้นอนแบงก์ที่ครอบคลุมการลดค่างวดและลดอัตราดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กำหนด (ตามรายงาน Reuters)


ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ ลดโอกาสไหลสู่ NPL.jpg

6) ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ: ลดโอกาสไหลสู่ NPL

สำหรับ “ลูกหนี้รายย่อย”

  1. ติดต่อเจ้าหนี้ให้เร็ว ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณ “ตึงมือ” อย่ารอให้ค้างเกินหลายงวด

  2. ทำงบกระแสเงินสด 3–6 เดือน แยก “รายได้แน่นอน/ไม่แน่นอน” และ “รายจ่ายจำเป็น/ไม่จำเป็น”

  3. เลือกเครื่องมือปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะ เช่น ยืดระยะเวลา ลดค่างวดชั่วคราว รวมยอดหนี้ (ถ้าเงื่อนไขเหมาะ)

  4. หยุดก่อหนี้ใหม่ระหว่างฟื้นตัว โดยเฉพาะหนี้หมุน (บัตร/สินเชื่อส่วนบุคคล)

  5. กันเงินสำรองฉุกเฉิน เป้าหมายขั้นต่ำให้เริ่มจาก 1 เดือนก่อน แล้วค่อยขยาย

สำหรับ “SMEs/ผู้ประกอบการ”

  1. จัดทำ Cash flow รายสัปดาห์/รายเดือน และติดตามลูกหนี้การค้าให้เข้ม

  2. ทบทวน รอบรับเงิน–จ่ายเงิน (เครดิตเทอม, สต๊อก, ค่าใช้จ่ายคงที่)

  3. ประเมินความสามารถชำระหนี้แบบ Stress test (ยอดขายลด 10–20% ยังอยู่รอดไหม)

  4. หากเริ่มมีสัญญาณอ่อนแรง ให้รีบคุยธนาคารเรื่อง ปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก

สำหรับ “ฝั่งผู้ให้สินเชื่อ/ระบบ”

กรอบ Responsible Lending ช่วยให้การปล่อยสินเชื่อเป็นธรรมและยั่งยืน โดย ธปท. มีแนวทาง/หลักเกณฑ์ “การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ” ให้สถาบันการเงินยึดเป็นมาตรฐาน



สรุป

NPL คือ “สัญญาณเตือน” ที่เชื่อมโยงรายได้ สภาพคล่อง และความเสี่ยงของระบบการเงิน ข้อมูล ธปท. ล่าสุด (ไตรมาส 3/2568) ระบุว่า NPL/Stage 3 อยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท และ NPL ratio 2.94% พร้อม Stage 2 ratio 7.24% ซึ่งย้ำความจำเป็นในการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง


การบริหาร NPL ที่ยั่งยืนจึงต้องทำ “ครบวงจร” ตั้งแต่การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ การแก้หนี้ก่อนเป็น Stage 3 ไปจนถึงการจัดการหนี้ที่ฟื้นไม่ได้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เครดิตยังสนับสนุนเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง


แหล่งอ้างอิง (References)

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.). Banking Sector Quarterly Brief (Q3 2025). Bank of Thailand

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.). Banking Sector Quarterly Brief (Q1 2025). Bank of Thailand

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.). Banking Sector Quarterly Brief (Q4 2024 and 2024). Bank of Thailand

  • Basel Committee on Banking Supervision (BCBS). Definitions of non-performing exposures and forbearance. Basel Committee on Banking Supervision

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.). Responsible Lending Guidelines / Regulations on Responsible Lending. Bank of Thailand

  • Reuters. Thailand approves support measures for non-bank debtors (Feb 11, 2025). Reuters

  • Reuters. Thai household debt-to-GDP ratio drops to 88.4 at end-Q4 (Mar 31, 2025). Reuters

相关文章